
“พิพิธภัณฑ์เทียนจิน” เสน่ห์แห่งศิลป์ที่บอกเล่าจิตวิญญาณจีนอย่างสง่างาม

23
July
2025

22
July
2025
เมื่อพูดถึงเทียนจิน หลายคนจะนึกถึงมหานครสองวัฒนธรรม เมืองที่เปี่ยมเสน่ห์ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป ผสานกับวิถีชีวิตจีนดั้งเดิมอย่างลงตัว
เทียนจิน เป็นเมืองท่าสำคัญที่ผสานกลิ่นอายตะวันตกกับวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมไว้อย่างกลมกลืน ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ การค้า สถาปัตยกรรม และอาหาร เมืองนี้เคยเป็นหนึ่งใน “เมืองเปิด” หลังสนธิสัญญานานกิง ทำให้มีเขตสัมปทานของชาติตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างมากต่อสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเมือง กลายเป็นย่านสถาปัตยกรรมยุโรปขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจีน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติและการเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น กบฏนักมวย และการปฏิวัติซินไฮ่
และใจกลางของเมืองเสน่ห์นี้ ยังมีสถานที่หนึ่งที่เก็บเรื่องราวนับร้อยนับพันปีเอาไว้... นั่นคือ “พิพิธภัณฑ์เทียนจิน” (Tianjin Museum / 天津博物馆)
ประวัติความเป็นมา
พิพิธภัณฑ์เทียนจินถือเป็นพิพิธภัณฑ์หลักของเมือง ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) โดยนักวิชาการ Yan Zhiyi และ Li Qinxiang ต่อมาได้มีการย้ายที่ตั้งและควบรวมกับหน่วยงานต่าง ๆ หลายครั้ง จนกระทั่งได้รับชื่ออย่างเป็นทางการในปี 2004
อาคารพิพิธภัณฑ์ปัจจุบัน ตั้งอยู่ใน ศูนย์วัฒนธรรมเทียนจิน (Tianjin Culture Center) เปิดให้เข้าชมในปี 2012 ตัวอาคารมีทั้งหมด 5 ชั้นเหนือดิน และ 1 ชั้นใต้ดิน ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 50,000 ตารางเมตร

สถาปัตยกรรมที่สะท้อนความคิด
พิพิธภัณฑ์ออกแบบโดยสถาปนิกญี่ปุ่น Mamoru Kawaguchi และสำนักงานสถาปนิก Shin Takamatsu Architect and Associates ตัวอาคารมีแรงบันดาลใจจาก “หงส์แบกปีก” อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและความมีชีวิต ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณจัตุรัส Yinhe Plaza กลายเป็นจุดหมายตาใหม่กลางเมืองเทียนจิน
นิทรรศการและคลังสมบัติวัฒนธรรมกว่า 200,000 ชิ้น
พิพิธภัณฑ์เทียนจินรวบรวมศิลปวัตถุและหลักฐานทางประวัติศาสตร์กว่า 200,000 ชิ้น ครอบคลุมตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคสมัยใหม่ โดยมี โซนนิทรรศการ ที่โดดเด่น 3 โซน ได้แก่
- นิทรรศการสมบัติล้ำค่า (Rare Treasures) รวมโบราณวัตถุล้ำค่ากว่า 63 รายการ เช่น ทองสัมฤทธิ์ หยกโบราณ จิตรกรรม หนังสือโบราณ และศิลปะอื่น ๆ
- นิทรรศการเทียนจินโบราณ: ต้นกำเนิดวัฒนธรรมเทียนจิน (Ancient Tianjin) เล่าเรื่องราวของเมืองเทียนจิน ตั้งแต่ยุคหินเก่า (Paleolithic) จนถึงปลายราชวงศ์ชิง
- นิทรรศการเทียนจินสมัยใหม่: เมืองเทียนจินกับจีนยุคใหม่ (Modern Tianjin) ถ่ายทอดการเปลี่ยนผ่านของเมืองในช่วง 100 ปี ตั้งแต่สงครามฝิ่นจนถึงการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
และยังมีห้องธีมอีก 8 ห้อง ที่เน้นจัดแสดงวัตถุเฉพาะทาง เช่น จิตรกรรมจีน, เครื่องเขียน, วัฒนธรรมแห่งโชคดี, ศิลปะพื้นบ้าน, ผ้าเขียนพู่กัน ฯลฯ ให้ผู้ชมได้สัมผัสมุมมองทางศิลป์และวัฒนธรรมอย่างหลากหลาย
และพิเศษที่สุด ที่วันนี้ทาง TAP Media จะพาไปชมร่องรอยของอดีตนับร้อยนับพันปี แต่ยังคงต้องมนต์ขลังอยู่ตรงหน้า ในโซนสมบัติล้ำค่า (Rare Treasures) ซึ่งเป็นโซนที่ได้รับความสนใจจากผู้ไปเยี่ยมชมจำนวนมาก ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปชมของจริงที่พิพิธภัณฑ์กันค่ะ
"หยกตั๊กแตนกับกะหล่ำปลี" ผลงานศิลป์แห่งราชวงศ์ชิง

ผลงานแกะสลักหยกชิ้นนี้เป็นตัวอย่างของความประณีตในงานช่างศิลป์แห่งราชวงศ์ชิง โดยอาศัยความงามจากธรรมชาติของเนื้อหยกที่มีหลากหลายเฉดสีมาใช้ได้อย่างชาญฉลาด
บริเวณล่างของกะหล่ำปลีมีสีเหลืองอมเทา ปรากฏจุดสีน้ำตาลกระจายอยู่ เส้นใบถูกแกะไว้อย่างชัดเจน ใบม้วนงอราวกับจริง ทั้งยังให้ความรู้สึกสดและมีชีวิตชีวาแม้ใช้เทคนิคแกะสลักที่เรียบง่าย
ตรงกลางของกะหล่ำปลี ซึ่งเป็นหยกสีเขียวมรกต ศิลปินได้สลักเป็น “ตั๊กแตนตำข้าว” และ “จั๊กจั่น” ที่เหมือนกำลังเกาะนิ่ง พลางฟังเสียงสายลมพัดผ่านใบไม้ เป็นภาพที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการและความมีชีวิตชีวา
ความคิดสร้างสรรค์ที่แฝงด้วยความช่างสังเกต ฝีมือที่พิถีพิถัน และการใช้สีหยกอย่างชาญฉลาด ทำให้ชิ้นงานนี้ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดงานแกะสลักหยกของยุคราชวงศ์ชิงเลยทีเดียว
"แจกันอวี้หูชุน" ยุคราชวงศ์ชิง สมัยเฉียนหลง

แจกันอวี้หูชุน (玉壶春瓶)ใบนี้มีปากเล็ก คอยาว ตัวขวดเรียวบาง เคลือบด้วยหยกขาวนวลดูบอบบางสง่างาม ตัวแจกันมีการลงสีเคลือบอย่างประณีต บริเวณคอขวดตกแต่งด้วย “ลวดลายใบตอง” (蕉叶纹) สีน้ำเงิน 2 กลุ่ม ส่วนท้องขวดประดับด้วยภาพวาด"ดอกเสาเย่า" (芍药) และ “ไก่ฟ้า” (雉鸡) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความสูงศักดิ์
แจกันใบนี้โดดเด่นด้วยองค์ประกอบทางศิลปะที่หลากหลาย ทั้งบทกวี อักษรศิลป์ จิตรกรรม และตราประทับ ลวดลายได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ “เจียงถิงซี” (蒋廷锡) จิตรกรราชสำนักชื่อดังแห่งราชวงศ์ชิง
เครื่องเคลือบแบบนี้เริ่มมีขึ้นในปลายรัชสมัยคังซี และเฟื่องฟูที่สุดในยุคหย่งเจิ้งและเฉียนหลง โดยศิลปินหลวงจากศาลาหรูอี้ในพระราชวังจะเป็นผู้ลงลวดลายทุกชิ้นด้วยฝีมืออันประณีต ทำให้แจกันประเภทนี้นับเป็นของล้ำค่า หายาก และมีคุณค่าสูงทางศิลปะและวัฒนธรรม
"พระโพธิสัตว์กวนอิมเคลือบขาว" สมัยเฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง

พระกวนอิมประทับนั่งในท่าครึ่งคุกเข่า, สวมผ้าคลุมศีรษะ ทรงผมเกล้าสูงเผยให้เห็นผมสีดำ ดวงตาหลุบต่ำ แววตาสงบนิ่ง รูปหน้าสง่างามแฝงด้วยความอ่อนโยน ลวดลายจีบผ้าและริ้วผ้าบนองค์พระพลิ้วไหวเป็นธรรมชาติประดับด้วยสร้อยประคำบนหน้าอก รูปปั้นแสดงออกถึงความเงียบสงบ สุขุม สง่างาม และเปี่ยมด้วยความเมตตา สะท้อนถึงระดับศิลปะชั้นสูง
ฐานด้านล่างมีช่องกลมตรงกลาง ภายในสามารถบรรจุคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ลูกประคำ หรือสมบัติมีค่าทางศาสนาอื่น ๆ บ่งบอกว่าพระกวนอิมองค์นี้เคยถูกใช้เป็นเครื่องบูชาในพระพุทธสถานของราชสำนัก เป็นวัตถุบูชาศักดิ์สิทธิ์ภายในวังหลวง
รูปปั้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดย “ถังอิง” (唐英) ผู้คุมการผลิตของเตาเผาหลวงแห่งเมือง “จิ่งเต๋อเจิ้น” (景德镇) ตามพระบัญชาของจักรพรรดิเฉียนหลง ด้านหลังขององค์พระมีจารึกอักษรตราประทับแนวตั้งว่า “唐英敬制” (ถังอิงสร้าง) ปัจจุบันมีการค้นพบเพียง 2 องค์เท่านั้นในโลก ยิ่งแสดงถึงความล้ำค่าอย่างยิ่ง
"หยกหมูมังกร" วัฒนธรรมหงซานแห่งยุคหินใหม่

รูปร่างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีหัวเป็นหมู ลำตัวเป็นมังกร ส่วนหัวโด่งเด่น มีหูใหญ่ นัยน์ตากลมโตนูนออกอย่างเด่นชัด สันจมูกมีรอยย่นหลายเส้น ริมฝีปากแน่นสนิทและยื่นออกมา หัวและหางหันเข้าหากัน มีช่องว่างระหว่างศีรษะกับหาง ที่คอบริเวณกลางมีรูเจาะสองรู
รูปลักษณ์โดยรวมดูโบราณ หนักแน่น และเปี่ยมด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณเชื่อว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์รูปหมูมังกรนี้อาจเป็นวัตถุบูชาหรือสัญลักษณ์แห่งความเคารพศรัทธาของชนเผ่าหงซานโบราณ
“หยกหมูมังกร” ถือเป็นหนึ่งในวัตถุหยกที่โดดเด่นที่สุดของวัฒนธรรมหงซานในยุคหินใหม่ การแกะสลักประณีตละเอียด ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่มีขนาดใหญ่และงดงามที่สุดในบรรดาหยกประเภทเดียวกัน
หม้อสำริดสามขา ลายหน้าสัตว์ ยุคซาง

ภาชนะสำริดโบราณทรง “ติ่ง” (鼎) หรือหม้อสามขาใบนี้ มีลักษณะเด่นคือขาตรงทรงเสาและหูตั้งฉากกับตัวหม้อ ถูกออกแบบให้มีความมั่นคง แข็งแรง สะท้อนฝีมือการหล่อโลหะระดับสูงในยุคซาง พื้นผิวของหม้อทั้งใบตกแต่งด้วย “ลายเหลยเหวิน” (雷纹) หรือ “ลายสายฟ้า” ส่วนขอบด้านบนประดับด้วย “ลายหน้าสัตว์” (兽面纹)
ภาชนะสำริดลายเส้นนูน ยุคซาง

ภาชนะสำริดโบราณชิ้นนี้ เรียกว่า "เจี่ย" (斝) มีปากบานออก ด้านขอบปากประดับด้วยเสาเล็ก 2 ต้น รูปทรงคล้ายดอกเห็ด โดยส่วนยอดของเสานั้นแกะสลักเป็น ลายก้นหอย (涡纹) ช่วงคอของภาชนะตั้งตรง เชื่อมต่อกับลำตัวทรงกลมพองอย่างนุ่มนวล ฐานภาชนะแยกเป็นสามแฉก รองรับด้วย ขาทรงเสา 3 ต้น อย่างมั่นคง
บริเวณคอมี ลายเส้นนูน (弦纹) พาดรอบจำนวน 2 เส้น ส่วนขาทั้งสามตกแต่งด้วยลายเส้นนูนรูปทรงสามเหลี่ยมซึ่งนูนเด่นชัด เสริมความสง่างามให้ตัวภาชนะ
ภาชนะทรงสูงลายใบตอง ยุคซาง

ภาชนะสำริดทรงสูงใบนี้เรียกว่า “กู” (觚) สร้างขึ้นสมัยปลายราชวงศ์ซาง มีรูปทรงเพรียวสูง ปากบานออก ช่วงเอวคอด คอยาว ฐานเป็นวงแหวนทรงสูง (高圈足) ซึ่งถูกเจาะช่องเป็นรูปกากบาท บริเวณคอภาชนะตกแต่งด้วย ลายใบตอง (蕉叶纹) ด้านล่างของคอมี ลายงู (蛇纹) และ ลายหน้าสัตว์ (兽面纹) ส่วนท้องภาชนะและฐานก็ประดับด้วย ลายหน้าสัตว์ เช่นกัน โดยมี ลายเมฆและสายฟ้า (云雷纹) เป็นลวดลายพื้น
ลวดลายทั้งหมดถูกแกะสลักไว้อย่างประณีต พิถีพิถัน ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของศิลปกรรมที่ทั้งสง่างามและทรงคุณค่าจากปลายยุคราชวงศ์ซาง
เครื่องหยกจารึก “การเดินลมปราณ” (行气铭) ยุคจ้านกั๋ว

เป็นเครื่องหยกทรงแท่งปริซึม 12 เหลี่ยม ตรงกลางเจาะรูกลมจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน แต่ยังไม่ทะลุถึงปลายบนสุด บนผิวมีการแกะสลักอักษรโบราณ (篆书) จำนวน 45 ตัว
โดยมีข้อความว่า: “行气,深则蓄,蓄则伸,伸则下,下则定,定则固,固则萌,萌则长,长则退,退则天,天几春在上,地几春在下。顺则生,逆则死。”
คำแปลข้อความจารึก:
“การเดินลมปราณ — เมื่อหายใจลึกจะกักเก็บ เมื่อกักเก็บจะสามารถแผ่ขยาย เมื่อแผ่ขยายจะไหลลง เมื่อไหลลงจะมั่นคง เมื่อมั่นคงจะมั่นเสถียร เมื่อมั่นเสถียรจะก่อเกิด เมื่อก่อเกิดจะเติบโต เมื่อเติบโตจะถอยกลับ ถอยกลับสู่ฟ้า ฟ้าดุจฤดูใบไม้ผลิอยู่เบื้องบน แผ่นดินดุจฤดูใบไม้ผลิอยู่เบื้องล่าง เมื่อสอดคล้องย่อมนำมาซึ่งชีวิต เมื่อขัดแย้งย่อมนำมาซึ่งความตาย”
ปัจจุบัน เทียนจินเป็นหนึ่งใน “มหานครระดับชาติ” ของจีน เชื่อมต่อกับปักกิ่งด้วยรถไฟความเร็วสูงใช้เวลาเพียง 30 นาที และมี “พิพิธภัณฑ์เทียนจิน” (Tianjin Museum) หรือ 天津博物馆 เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์จีนจากอดีตถึงปัจจุบัน
"ในโลกที่เมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว เทียนจินยังมีที่หนึ่งที่เก็บเรื่องราวของอดีตไว้ด้วยความรักและเคารพ