![](https://cdn.prod.website-files.com/6063345cc13db992ffe13a50/6336780e7fec20577283b135_2.pic-WHA%20%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99H2-65.jpg)
WHA คาดผลประกอบการสูงเป็นประวัติการณ์ ตั้งเป้าปี 2565 เติบโต 20% คึกคักรับการกลับมาของนักลงทุน มั่นใจเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน
![](https://cdn.prod.website-files.com/6063345cc13db968ede13a37/6063345cc13db9afcbe13a84_Clock.png)
7
June
2024
![](https://cdn.prod.website-files.com/6063345cc13db968ede13a37/6063345cc13db9afcbe13a84_Clock.png)
29
September
2022
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ WHA Group เผยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ทั้งสี่กลุ่มธุรกิจของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในด้านบวกและแนวโน้มการลงทุนที่สดใส โดยบริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ อยู่ที่4,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2565 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 86,400 ล้านบาทโดยคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ "A-"
WHA Group คาดว่า บริษัทฯ จะมีผลประกอบการสูงเป็นประวัติการณ์ในปี2565 ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติจะอยู่ที่ร้อยละ 20 และกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เกินร้อยละ40 โดยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ บริษัทฯ ยังตั้งเป้าที่จะขายสินทรัพย์ขนาด 208,000 ตร.ม. อีกด้วย
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราจะยังดำเนินการตามแผนโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในทุกกลุ่มธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะ ควบคู่ไปกับการรักษางบดุลที่แข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นของเราตามแผนกลยุทธ์การเติบโตและการลงทุนระยะเวลา 5 ปี ด้วยงบ 50,000 ล้าน”
แนวโน้มปี2565 และอนาคตเติบโตยั่งยืน
- กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์
คาดว่า ปี 2565 จะเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ หลังจากผลประกอบการในครึ่งแรกของปีเป็นที่น่าประทับใจ และมีโครงการที่เตรียมส่งมอบในครึ่งหลังของปีอีกหลายโครงการ รวมไปถึงการเปิดตัวอาคารคลังสินค้าและอาคารสำนักงานมูลค่าสูงใหม่ ๆ
ในครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ได้ส่งมอบพื้นที่รวม 194,300 ตร.ม. แบ่งออกเป็นโครงการคลังสินค้าใหม่และสัญญาเช่าพื้นที่ใหม่จำนวน 98,200 ตร.ม. และสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 96,100 ตร.ม. ทั้งนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบที่มีต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดความต้องการเช่าคลังสินค้าระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจจัดส่งสินค้าแบบด่วน รวมไปถึงตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL)
สำหรับในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2565 จะมีการส่งมอบโครงการคลังสินค้าใหม่ๆ รวมพื้นที่กว่า 51,000 ตร.ม. นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการคลังสินค้าดับบลิวเอชเอเมกกะ โลจิสติกส์ใหม่อีก 2 โครงการ และพื้นที่ส่วนต่อขยายของโครงการดับบลิวเอชเอเมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 (WHA Mega Logistics CenterTheparak KM. 21) รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 420,000ตร.ม.
- กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
ยังคงตอกย้ำตำแหน่งการเป็นผู้นำด้านนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย และขยายธุรกิจในเวียดนามให้เติบโตมากขึ้น โดยในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯสามารถทำยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ถึง 513 ไร่
ในประเทศไทย WHA เป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมที่จะต้อนรับนักลงทุน ด้วยพื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมขายกว่า 4,250 ไร่ ในทำเลยุทธศาสตร์ บริษัทฯ ได้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอระยอง 36 จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ไร่ ในขณะที่การก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด4 (WHA ESIE 4) ขนาด 573 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4ปี 2565 และจะเริ่มก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนตุลาคมนี้
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา WHA ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินขนาด 600 ไร่ กับบริษัทบีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอระยอง 36 ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจกับนิคมอุตสาหกรรมของ WHA อย่างต่อเนื่อ นอกจากนั้น ดีลครั้งนี้ยังยืนยันถึงบทบาทของ WHA ในฐานะบริษัทฯที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งคลัสเตอร์ยานยนต์ของประเทศไทยในพื้นที่อีอีซีตลอด 20ปีที่ผ่านมา ตลอดจนเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงปัจจุบัน WHA มีความภาคภูมิใจในการเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ถึง 277 รายจากทั่วโลก
ในประเทศเวียดนาม หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการในจังหวัดเหงะอาน บริษัทฯยังคงยุทธศาสตร์ในการขยายนิคมอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดหลักๆอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ ได้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยพื้นที่ร้อยละ 76 ของเฟสที่ 1 ได้ปล่อยเช่าให้กับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร พลังงานแสงอาทิตย์ วัสดุก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่ามากที่สุดในจังหวัดเหงะอานทั้งนี้ จากการคาดการณ์ความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น บริษัทฯ จึงเร่งก่อสร้างเฟส 2 ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังวางแผนที่จะพัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรมขนาด 5,625 ไร่ รวมส่วนต่อขยายในจังหวัดถั่งหัว ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ3 ของเวียดนาม และมีทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ใกล้กับกรุงฮานอยและท่าเรือน้ำลึกแหล็กเฮวี่ยน โดยโครงการ ‘WHA Smart Technology Industrial Zone – Thanh Hoa’ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองหลักของจังหวัด พร้อมที่จะรองรับความต้องการของนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูงและการขยายโครงการ 'Northern Technology Corridor' ของเวียดนาม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ WHA ยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 3 ของประเทศเวียดนามในจังหวัดกว๋างนาม บนพื้นที่ขนาด 2,500 ไร่ โดยโครงการ ‘WHASmart Eco Industrial Zone – Quang Nam’ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใจกลางภาคกลาง ใกล้จังหวัดดานังและกว๋างหงาย ซึ่งในอนาคตโซนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ ตั้งเป้าที่จะรองรับอุตสาหกรรมไฮเทคสะอาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม การแพทย์หรือโลจิสติกส์
- กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน
ด้านสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์พาวเวอร์ (WHAUP) ยังคงเดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่องโดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เช่น น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (PremiumClarified Water) และน้ำปราศจากแร่ธาตุ
สำหรับประเทศไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 WHAUP มีปริมาณการจำหน่ายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและการบำบัดน้ำเสีย สูงขึ้นร้อยละ 10 เป็น 62.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 19 เป็น 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ WHAUP ยังได้สร้างโรงผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอระยอง 36 กำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
สำหรับประเทศเวียดนาม WHAUP มีโครงการน้ำที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 3 โครงการ ผลการดำเนินงานมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของของปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 12.8 ล้านลูกบาศก์เมตร
ด้านพลังงาน ดับบลิวเอชเอยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังคงขยายพอร์ทการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในครึ่งแรกของปี 2565 WHAUP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) จำนวน 62 เมกะวัตต์ ในขณะที่อีก 64 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังได้มีการลงนามโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมใหม่อีก 15 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 34 เมกะวัตต์
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ WHAUP ได้ร่วมกับ PTT และ Sertis พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-PeerEnergy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange ("RENEX") ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว จะช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานของผู้ใช้ในอุตสาหกรรม โดยโครงการนี้ได้เข้าร่วมในโครงการ ERC Sandbox ของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน(ERC) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทที่เข้าร่วมโครงการสามารถซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างกันได้อย่างอิสระโดยตรงผ่านโครงข่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
- กลุ่มธุรกิจดิจิทัล
ภายในสิ้นปี 2565 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะวางไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน(FTTx) และพร้อมให้บริการแล้วเสร็จทั้ง 11 นิคมอุตสาหกรรมของ WHA ในประเทศไทย และยังมีการให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมสำหรับติดตั้งอุปกรณ์สำหรับรับและกระจายสัญญาณเครือข่าย3G, 4G, และ 5G ภายในนิคมฯของ WHA โดยจะดำเนินการสร้างเสาโทรคมนาคมจำนวน 8 ต้นภายในปีนี้
นอกจากนี้ กลุ่มธุริกิจดิจิทัลได้มีการขายสินทรัพย์ประเภทธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) จำนวน 2แห่ง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยสร้างกำไรได้ถึง345 ล้านบาท ปัจจุบัน WHA ยังคงถือหุ้นร้อยละ 15 ใน Supernap ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Tier IV
ธุรกิจดิจิทัลของ WHA ยังได้พัฒนาโซลูชันดิจิทัลของตัวเองอีกด้วย โดยได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน WHAbit เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงบริการ Telemedicine ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของบริษัทฯ โดยได้จับมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช เพื่อส่งเสริมและพัฒนาโซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์
![](https://cdn.prod.website-files.com/6063345cc13db992ffe13a50/63368cccb908005ed637a527_2.jpg)
ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยี ในปี 2567 WHA ได้สร้างโรดแมพที่ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมนวัตกรรมในสถานที่ทำงาน การปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการสำรวจเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว META W เมตะเวิร์สอุตสาหกรรมรายแรกที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทในยุคดิจิทัล
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับWHA ในปี 2565 เรามองเห็นความก้าวหน้าอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ การเปิดประเทศอีกครั้งและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ตามมา
ในยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19 ทำให้เราได้เห็นการกลับมาของนักลงทุน เห็นได้จากข้อตกลงใหญ่ ๆ และโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายของปี 2565 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ รวมถึงการปรับเป้ายอดขายที่ดินขึ้นเป็น 1,650ไร่
ประการที่ 2 คือ การดำเนินการตามแผนการลงทุนระยะเวลา5 ปี มูลค่า 50,000 บาท รวมถึงโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล ซึ่งจะปูทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวของWHA สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์และก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต”
พร้อมสรุปว่า “WHAพร้อมก้าวสู่อนาคตด้วยความมั่นใจ ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลา30 ปี เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆในปัจจุบันได้เปิดโอกาสใหม่ ๆ มากมาย และเรามุ่งมั่นที่จะคว้าโอกาสเหล่านั้นมาใช้ในกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของบริษัทฯ ทั้งลูกค้า พนักงานผู้ถือหุ้น พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนสังคมไทยโดยรวม”